เมนู

ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะทำอธิบายว่า บุคคลผู้อุปหัจจปรินิพพายีมีอยู่
อุปหัจจภพ ก็ชื่อว่ามีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. อันตราภพ ชื่อว่ามีอยู่ เพราะทำอธิบายว่า บุคคล
ผู้อันตราปรินิพพายีมีอยู่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพราะทำอธิบายว่า บุคคลผู้อสังขารปรินิพพายีมีอยู่
ฯลฯ บุคคลผู้สสังขารปรินิพพายีมีอยู่ สสังขารภพก็ชื่อว่ามีอยู่หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
อันตราภวกถา จบ

อรรถกถา อันตรา ภวกถา



ว่าด้วย อันตราภพ



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องอันตราภพ คือ ภพที่คั่นในระหว่าง. ในเรื่องนั้น
ชนเหล่าใด มีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายปุพพเสลิยะ และสมิติยะทั้งหลาย
ว่า สัตว์ หมายถึงผู้จะปฏิสนธิ ผู้ไม่มีทิพพจักขุย่อมเป็นผู้ราวกะมี
ทิพพจักขุ ผู้ไม่มีฤทธิ์ย่อมเป็นผู้ราวกะผู้มีฤทธิ์เล็งแลดูอยู่ซึ่งการอยู่ร่วม
ของบิดามารดา และการมีระดู เขาดำรงอยู่ประมาณ 7 วัน หรือเกิน
กว่านั้นในที่ใด ที่นั้น ชื่อว่า อันตราภพ เพราะถือเอาบทพระสูตรว่า
บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี คือ ผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทัน

ถึงท่ามกลางแห่งอายุขัย โดยไม่พิจารณาดังนี้ คำถามของสกวาทีว่า
อันตราภพมีอยู่หรือ โดยหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของ
ปรวาที เพราะตั้งอยู่ในลัทธิ. ลำดับนั้น สกวาที เพื่อจะท้วงปรวาทีนั้น
ด้วยสามารถแห่งภพทั้ง 3 เหล่าใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั้น
จึงกล่าวคำว่า เป็นกามภพ เป็นต้น.
ในปัญหานั้น อธิบายว่า ผิว่า ภพไร ๆ ชื่อว่าอันตราภพมีอยู่ตาม
ลัทธิของท่านไซร้ ภพนั้นก็พึงเป็นดุจปัญจโวการภพ ภพใดภพหนึ่งแห่ง
กามภพทั้งหลายเป็นต้น นั่นแหละ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า
เป็นกามภพ หรือรูปภพ หรืออรูปภพ ชื่อว่า อันตราภพ ตามลัทธิของ
ท่าน. ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงปฏิเสธทั้งหมด. คำว่า มีอยู่
ในระหว่างกามภพ
เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อท้วงว่า ถ้าอันตราภพมี
อยู่ไซร้ อันตราภพนั้นก็จะพึงเป็นเหมือนกับเขตแดนแห่งเขตแดนทั้ง 2
ปริวาทีเมื่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงปฏิเสธปัญหาทั้งปวง ย่อมปฏิเสธไป
เพราะลัทธิอย่างเดียว แต่ย่อมไม่ปฏิเสธตามความเป็นจริง โดยคำนั้น
นั่นแหละ สกวาทีจึงกล่าวปฏิเสธกะปรวาทีว่า ท่านก็ต้องไม่กล่าวว่า
อันตราภพมีอยู่
แม้คำว่า อันตราภพเป็นกำเนิดที่ 5 เป็นต้น สกวาที
ถามเพื่อท้วงว่า อันตราภพนั้นไม่รวมอยู่ในกำเนิดเป็นต้นตามที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ อันตราภพนั้นก็จะพึงเป็น
ภพที่เกินจากกำเนิดจากคติเป็นต้นนั้น ๆ. คำว่า กรรมอันยังสัตว์ให้
เข้าถึงอันตราภพมีอยู่หรือ
สกวาทีถามเพื่อท้วงว่า ถ้าอันตราภพแม้นั้น
พึงเป็นภพหนึ่งต่างหากไซร้ กรรมที่ยังสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งอันตราภพนั้น
ก็พึงมี ดุจกรรมที่ยังสัตว์ให้เข้าถึงกามภพเป็นต้น ดังคำที่พระศาสดา

ทรงจำแนกไว้แล้วและแสดงแล้วว่าเป็นกรรมมีอยู่จริง อย่างนี้ ดังนี้.
อนึ่ง ลัทธิเหล่านั้นในลัทธิของปรวาทีว่า กรรมโดยเฉพาะที่ชื่อว่าอันยัง
สัตว์ให้เข้าถึงซึ่งอันตราภพไม่มี สัตว์ใดจักเข้าถึงซึ่งภพใด ๆ ย่อมเกิด
ในอันตราภพได้ด้วยกรรมอันยังสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งภพนั้นนั่นแหละ เหตุใด
เพราะเหตุนั้น ปรวาทีจึงตอบว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น. แม้ถูกสกวาทีถาม
ว่า สัตว์ผู้เข้าถึงอันตราภพมีอยู่หรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธตามลัทธิว่า
สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าผู้เกิดในกามภพนั่นแหละ. แม้ถูกถามว่า สัตว์ทั้งหลาย
เกิดอยู่...ในอันตราภพหรือ
ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาซึ่งความเกิด ความ
แก่ ความตาย และจุติอุปบัติในอันตราภพนั้น จึงตอบปฏิเสธ แม้ถูกถาม
ด้วยสามารถแห่งรูปเป็นต้น ย่อมตอบปฏิเสธ เพราะลัทธิแห่งชนเหล่านั้น
ว่า รูปของสัตว์ในอันตราภพเห็นไม่ได้ แม้ธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น
ก็ไม่หยาบเหมือนสัตว์เหล่าอื่น. ด้วยเหตุนี้นั่นแหละ พึงทราบการปฏิเสธ
แม้ในความเป็นแห่งปัญจโวการภพ.
บัดนี้ คำว่า กามภพ เป็นภพ เป็นคติ เป็นต้น ชื่อว่าเป็นการ
เปรียบเทียบภพ. ในข้อนี้อธิบายว่า ถ้าภพไร ๆ ชื่อว่าอันตราภพพึงมี
ตามลัทธิของท่านไซร้ ก็บรรดาภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้นมีอยู่ การ
แตกต่างกันแห่งภพและคติเป็นต้น พึงหยั่งเห็นได้ ฉันใด แม้ในอันตราภพ
นั้น ก็จะพึงเห็นได้ ฉันนั้น ในอันตราภพหยั่งเห็นไม่ได้ ฉันใด แม้ใน
กามภพเป็นต้นเหล่านี้ก็หยั่งเห็นไม่ได้ ฉันนั้น เพราะว่า การจำแนกด้วยดี
แห่งภพและคตินั่นแหละมีอยู่ในความเป็นแห่งภพที่มีอยู่ มิใช่ในภพนอกจาก
นี้ก็อะไรเล่า เป็นเหตุแปลกกันระหว่างกามภพเป็นต้นเหล่านั้นกับอันตราภพ

ในที่นี้. ปรวาที ย่อมตอบรับรองและตอบปฏิเสธซึ่งปัญหานั้น ๆ ด้วย
สามารถสักแต่ว่าลัทธิ.
ถูกสกวาทีถามว่า อันตราภพมีอยู่สำหรับสัตว์ทั้งปวงทีเดียวหรือ
ปรวาที นั้นไม่ต้องการอันตราภพมีแก่สัตว์ผู้เกิดในนรก อสัญญีสัตว์
และอรูปพรหม เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธ. ย่อมตอบรับรองโดยปฏิโลม
ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ. คำว่า อนันตราภพ มีอยู่สำหรับบุคคลผู้ทำ
อนันตริยกรรม
. เป็นต้น สกวาทีกล่าว เพื่อจำแนกแสดงภพทั้งหลาย
โดยนัยที่ปรวาทีนั้นไม่ปรารถนาอันตราภพของสัตว์เหล่าใดเหล่านั้น.
คำนั้นทั้งหมด บัณฑิตพึงทราบโดยทำนองแห่งพระบาลีพร้อมกับการ
อ้างพระสูตร แล.
อันตราภวกถา จบ

กามคุณกถา



[1210] สกวาที กามคุณ 5 เท่านั้น เป็นกามธาตุหรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ความพอใจเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น มีอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ความพอใจเกี่ยวด้วยกามคุณนั้นมีอยู่ ก็ต้อง
ไม่กล่าวว่า กามคุณ 5 เท่านั้น เป็นกามธาตุ.
ส. ความกำหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น ความกำหนัด
ด้วยอำนาจความพอใจเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น ความดำริเกี่ยวด้วย
กามคุณ 5 นั้น ความกำหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น ความกำหนัดด้วย
อำนาจความดำริเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น ปีติเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น
โสมนัสเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น ปีติโสมนัสเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้น มีอยู่
มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ปีติโสมนัสเกี่ยวด้วยกามคุณ 5 นั้นมีอยู่ ก็
ต้องไม่กล่าวว่า กามคุณ 5 เท่านั้น เป็นกามธาตุ.
[1211] ส. กามคุณ 5 เท่านั้น เป็นกามธาตุหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. จักษุของมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เป็นกามธาตุหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ของมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่เป็นกามธาตุ หรือ ?